เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยในอาทิตย์ที่ผ่านมา สำหรับ X-T3 กล้องรุ่นท็อป ความาสามารถสูงโดยเน้นไปที่การถ่ายความเร็วสูงและวิดีโอโดยเฉพาะ ของ Fujifilm ขณะเดียวกัน X-H1 รุ่นท๊อปอีกตัวของค่าย ที่มีความสามารถใกล้เคียงอีกด้วย
แต่ก่อนอื่นมาดูข้อดีที่ทั้ง 2 รุ่นนี้มีเหมือนกัน คือ
- โครงสร้างกล้องแบบ weather-sealed ที่ป้องกันฝุ่นละอองและน้ำ
- ช่องมองภาพ EVF ที่มีการขยายภาพ 0.75x ขนาด0.5 นิ้ว ความละเอียด 3.69 ล้านพิกเซล
- หน้าจอปรับมุม 3 ทิศทาง ความละเอียด 1.04 ล้านจุด และความไวในระบบสัมผัส
- มีวงแหวนสำหรับปรับค่าความเร็วชัตเตอร์, ISO, โฟกัส, วัดแสงและการตั้งค่าการถ่ายภาพ
- ความเร็วชัตเตอร์ 1 / 8000s หรือ สูงถึง 1 / 32000s ด้วยชัตเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมชัตเตอร์โหมด T 15 นาที
- Eterna film simulation สำหรับบันทึกวิดีโอและ F-Log
- ช่องเสียบการ์ด SD คู่ (UHS-II)
- แจ็คไมโครโฟนและหูฟัง 3.5 มม
- การเชื่อมต่อบลูทูธ และ WiFi
ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้หลายคนเกิดคำถามว่า ระหว่าง X-T3 และ X-H1 มีอะไรแตกต่างกันบ้าง FotoUpdate จะสรุปให้เข้าใจโดยง่าย เพียง 10 ข้อดังนี้
1.ระบบป้องกันภาพสั่นไหว
X-H1 คือ รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่มีคุณสมบัติแกนกันสั่นในตัว 5 แกน ทำงานร่วมกับเลนส์ที่ไม่มีระบบกันสั่น หรือ ใช้ร่วมกับระบบ OIS ของเลนส์ Fujinon ได้ แต่ X-T3 ไม่มี สำหรับตอนนี้ดูเหมือนว่า Fujifilm จะรักษาเทคโนโลยีนี้ไว้เฉพาะใน X-H1
2.เซ็นเซอร์ X-Trans และระบบประมวลผลภาพ
แม้ว่า X-H1 จะมีเซ็นเซอร์ X-Trans III ที่เป็นระดับสูงสุดของค่าย ในขณะเดียว X-T3 มีเซ็นเซอร์ X-Trans IV ใหม่เอี่ยม มาพร้อมกับเทคโนโลยี BSI ทำให้เซ็นเซอร์สามารถรวบรวมแสงได้มากขึ้น การอ่านข้อมูลเซ็นเซอร์เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ถึง 1.5 เท่า เพิ่มความเร็วในการประมวลผลภาพขึ้น 3 เท่า
นอกจากนี้ X-T3 มีความเร็ว ISO ปกติอยู่ที่ 160 ขณะที่ X-H1 อยู่ที่ 200 และ X-T3 ยังสามารถขยาย ISO ได้มากกว่า X-H1 อีกด้วย
3. ระบบไฮบริดออโต้โฟกัส
ในโหมด single point AF X-H1 มาพร้อมกับ 91 จุด บนเส้นตาราง 13 × 7 (หรือ 325 จุดบน ตาราง 13 × 25)
ในขณะ X-T3 มีจุดโฟกัส 117 จุด บนเส้นตาราง 13 × 9 (หรือ 425 จุดในตาราง 17 × 25) มากกว่าเดิม 4 เท่า
ซึ่งจะเห็นว่า X-H1 มีพิกเซลการตรวจจับถูกจำกัดไว้ที่ตรงกลางเซ็นเซอร์ ต่างจาก X-T3 ที่มีครอบคลุมเต็มรูปแบบ (99% ตามแนวความกว้างและความสูง) นอกจากนี้ยังระบุว่าระบบตรวจจับใบหน้าและดวงตามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 2 เท่า โดยสามารถใช้งานโหมดภาพยนตร์ และ Continuous AF ได้
4. การถ่ายภาพต่อเนื่อง
X-H1 สามารถถ่ายภาพได้สูงสุด 8 เฟรมต่อวินาที (ใช้งานพร้อมกริปแบตเตอรี่ทำได้ถึง 11 เฟรมต่อวินาที) ด้วยชัตเตอร์แบบกลไก หรือ 14 เฟรมต่อวินาที ด้วยชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่ X-T3 สามารถถ่ายภาพได้สูงสุด 11 เฟรมต่อวินาที ด้วยชัตเตอร์แบบกลไก และ 20 เฟรมต่อวินาที ด้วยชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้กริปแบตเตอรี่
นอกจากนี้ X-T3 ยังมีโหมด Sports Finder ที่ทำให้เซนเซอร์ถูกครอบตัด 1.25 เท่า แต่สามารถถ่ายภาพได้สูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที และโฟกัสแบบติดตาม, AE อัตโนมัติ พร้อมช่องมองภาพที่ไม่ดับขณะถ่ายภาพด้วย
(มีเพียงกล้อง Sony A9 ที่สามารถทำได้ในขณะนี้) และยังมีโหมด pre-capture เมื่อคุณกดชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่ง กล้องจะบันทึกข้อมูลทั้งหมดลงในหน่วยความจำ แต่จะบันทึกภาพล่าสุดเมื่อกดปุ่มจนสุด (คล้ายคลึงกับ Pre-Burst ของ Lumix G9 และPro Capture ของ OM-D E-M1 II) เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสถ่ายภาพ แม้สักเสี้ยววินาทีเลย
5. การออกแบบ
ความแตกต่างที่ชัดเจนสำหรับการออกแบบระหว่าง X-T3 และ X-H1 คือกริปจับที่ขนาดกว้างขึ้น ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้เลนส์เทเลโฟโต้ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ X-H1 ยังมีโครงสร้างที่แข็งแรงกว่าถึง 25% ของ X-T3 และมีความต้านทานต่อรอยขีดข่วน เทียบเท่าค่ามาตรฐานระดับ 8H
นอกจากนี้เฉพาะรุ่น X-H1 เท่านั้นที่มีจอด้านบน ซึ่งแสดงข้อมูลการตั้งค่าที่สำคัญของกล้อง
6. วีดีโอ
X-T3
- บันทึก 4K ถึง 60 เฟรมต่อวินาที
- บันทึก Cinema 4K/DCI ถึง 60 เฟรมต่อวินาที
- บันทึก 4K ถึง 400Mbps
- บันทึก 4K พร้อม IPB หรือ All-I compression
- ตัวแปลงสัญญาณ H.264 และ H.265 codecs
- บันทึกไฟล์ในกล้องแบบ 4:2:0 10-bit
- บันทึกไฟล์นอกกล้องแบบ 4:2:2 10-bit
- บันทึก 4K นานถึง 30 นาที
- บันทึก Full HD นานถึง 30 นาที
X-H1
- บันทึก 4K ถึง 30 เฟรมต่อวินาที
- บันทึก Cinema 4K/DCI ถึง 24 เฟรมต่อวินาที
- บันทึก 4K ถึง 200Mbps
- บันทึก 4K พร้อม IPB
- ตัวแปลงสัญญาณ H.264 codec
- บันทึกไฟล์ในกล้องแบบ 4:2:0 8-bit
- บันทึกไฟล์นอกกล้องแบบ 4:2:2 8-bit
- บันทึก 4K นานถึง 15 นาที
- บันทึก Full HD นานถึง 20 นาที
- บันทึก 4K และ Full HD นานถึง 30 นาที ด้วยกริปแบตเตอรี่
จุดสังเกตเกี่ยวกับวีดีโออีกอย่าง คือ ในการบันทึกวิดีโอ 4K ที่ 50/60p X-H1 จะครอบตัดเซ็นเซอร์ไว้ประมาณ 1.17 เท่า ในขณะที่ X-T3 จะครอบตัดเซ็นเซอร์ไว้ประมาณ 1.18 เท่า และจะไม่ครอบตัดเมื่อบันทึก 4K ที่ 30p
และในโหมดบันทึกวีดีโอความเร็วสูง Full HD ที่ 120p X-T3 จะมีการครอบตัดเซนเซอร์ 1.29 เท่า ในขณะที่ X-H1 ไม่มีการครอบตัดใดๆ
นอกจากนี้ X-T3 มีการเพิ่มตัวเลือก zebra pattern, ประสิทธิภาพการทำงานของ Rolling Shutter, การจับภาพการตรวจจับใบหน้าใน 4K, และช่วงไดนามิก 12 ช่วง
7. การปรับสี Monochrome และ Color Chrome Effect
X-T3 มีการเพิ่มฟังก์ชันการปรับโทนสีขาวดำซึ่งจะสามารถปรับแต่งโทนให้อบอุ่นและเย็นได้ ในโหมด Acros film simulation
และ Color Chrome Effect คือ การไล่ระดับสีที่ดีขึ้น ทำให้วัตถุที่มีสีที่อิ่มตัวสูง (เป็นฟังก์ชันจากกล้องมิเดียมฟอร์แมท GFX 50s )
8. คุณลักษณะเพิ่มเติม
มี 2 คุณสมบัติเพิ่มเติมที่พบใน X-T3 และไม่สามารถใช้งานได้ใน X-H1 คือ Digital Microprism ซึ่งเป็นระบบโฟกัสแบบแมนนวลใหม่ ที่ช่วยให้การเล็งผ่านช่องมองภาพเหมือนกับกล้องฟิล์มสมัยก่อน และโหมด Night Vision ที่ช่วยรักษาวิสัยทัศน์ในตอนกลางคืน โดยพื้นหลังของจอ LCD จะเปลี่ยนเป็นสีเทาและข้อความสีแดง
9. อายุการใช้งานแบตเตอรี่
แม้ว่าทั้งสองรุ่นจะใช้แบตเตอรี่ NP-126S อย่างเดียวกัน แต่ X-T3 สามารถถ่ายภาพได้ 390 ภาพต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง ขณะที่ X-H1 ทำได้เพียง 310 ภาพ (มาตรฐาน CIPA)
10. ราคา
X-H1 เฉพาะตัวกล้องนั้น มีราคา 69990 บาท ส่วน X-T3 เฉพาะตัวกล้องนั้น มีราคาประมาณ 49,000 บาท (ถูกกว่า X-T2 เมื่อตอนเปิดตัวที่มีราคา 59,990 บาท)
ข้อสรุป
แม้ว่า X-H1 จะเป็นกล้องระดับสูงสุดใน X Series ของ Fujifilm แต่ X-T3 มาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่ๆ และเหนือกว่า อย่างเช่น การบันทึกวีดีโอความละเอียด 4K ที่ 60fps / 10-bit จากเซ็นเซอร์ใหม่ที่มีเทคโนโลยี BSI, และความสามารถในการถ่ายภาพอัตโนมัติที่ดีขึ้นพร้อมกับชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์
ราคาขายปลีกอย่างเป็นทางการอาจสูงกว่าการคาดการณ์ แต่ปัจจุบันสามารถหา X-H1 ได้ในราคาที่ใกล้เคียงกันกับ X-T3 ในทางกลับกันที่จะกลายเป็นเรื่องยากที่จะแนะนำ X-H1 มากกว่าเมื่อเจอกล้องรุ่นใหม่ แต่ขออย่าลืมว่าระบบกันภาพสั่นไหว 5 แกนในกล้อง เป็นคุณลักษณะที่มีประโยชน์มาก และบางท่านอาจต้องการกล้องขนาดใหญ่และการจับถือที่ถนัดเช่นกัน