DSLR กับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษแล้ว หลังจาก DSLR เข้ามาแทนที่กล้องฟิล์ม ในตอนเริ่มแรกนั้นกล้อง DSLR ยังมีความละเอียดไม่กี่ล้านพิคเซล แบตเตอรี่ไม่มากนัก พูดได้เต็มปากว่าไม่มีอะไรดีเลยสำหรับกล้องตัวนี้ ทำเอาช่างภาพในเวลานั้นต่างสงสัยกันมากว่าเจ้าเพื่อนใหม่คนนี้จะไปรอดไหม เวลาผ่านพ้นไปจนถึงปัจจุบัน DSLR ได้รับการยอมรับและความภักดีจากช่างภาพอย่างเต็มหัวใจ ส่วนสายฟิล์มเองต่างก็ละทิ้งวิถีการทำงานดั้งเดิมของตนสู่ทางสายใหม่ที่น่าตื่นเต้น

แต่เมื่อไม่นานมานี้ DSLR กำลังเผชิญชะตากรรมอย่างที่กล้องฟิล์มเคยประสบมาแล้ว หลังจากการของกล้อง Mirrorless และ สมาร์ทโฟนที่เริ่มจะเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป แต่สำหรับช่างภาพระดับโปรแล้วยังคงใช้ DSLR เช่นเดิม

Mirrorless กล้องใหม่แห่งอนาคต

ในช่วงเวลานี้หลายคนยอมรับว่า Mirrorless กำลังเผชิญปัญหาอย่างที่ DSLR เคยเผชิญสมัยพึ่งจะลืมตาดูโลก ตอนที่เทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมยังไม่สามารถเอื้อประโยชน์ให้น้องใหม่ได้เติบโตมากเท่าไร จึงต้องใช้เวลาให้ผู้ผลิตได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ซึ่งก็หลายปีกว่าจะออกมาดีพร้อมใช้

อย่างเทคโนโลยีใหม่ Electronic viewfinder ได้รับการพัฒนาให้ดีมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ดีมากพอที่จะเรียกได้ว่าดีที่สุด ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว ช่องมองภาพตัวใหม่นี้ควรจะนำเสนอฟีเจอใหม่ๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกได้มากขึ้นอย่าง เส้นกริด ฮิสโทรแกรม  focus peaking  แต่ตอนนั้นทางผู้ผลิตยังไม่ได้พัฒนาให้ตอบสนองความต้องการส่วนนี้ได้ ยิ่งเราเคลื่อนย้ายกล้องเร็วเท่าไร EVF ดูจะเหนื่อยหน่ายที่จะทำงานเสียอย่างนั้น ซึ่งการแก้ปัญหาในตอนนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์กับช่องมองภาพเสียเลย

กลับมาที่วันนี้ EVF ได้รับการพัฒนาให้มีความเสถียรมากขึ้นไม่มีอาการช้าและยังเข้าช่วยพัฒนาในการประมวลผลได้ดีขึ้น  เฟรมเรทก็ดูดีเสถียรในขณะที่กล้องเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อนำมาใส่ไว้ใน  Mirrorless แล้วส่งให้น้องใหม่มีลูกเล่นมากขึ้น

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือเรื่องของการถ่ายภาพต่อเนื่อง กล้อง DSLR ระดับสูงสามารถถ่ายต่อเนื่องได้สูงสุดที่ 14 ภาพต่อวินาที(และจะสูงถึง 16 ถ้าใช้ฟีเจอร์ Mirror Lock)แต่ด้าน Mirrorless กลับทำลายสถิติของรุ่นพี่ยับเยินกับการถ่ายต่อเนื่องได้สูงถึง 20 ภาพต่อวินาทีในฟีเจอร์ burst mode จากความต่างของเรื่องนี้กลายเป็นปมด้อยของฝั่ง DSLR ที่ไม่เคยและอาจไม่มีทางที่จะไปได้สูงกว่าหรือเท่ากับคู่แข่งได้เลย ส่วนในเรื่องดีไซด์ที่ทางผู้มาใหม่ออกแบบกล้องให้มาสวยและมีขนาดที่บางและเล็กลงอีกด้วยสวนทางกับเจ้าเก่าที่นับวันจะหนักและใหญ่ขึ้นไปซะอย่างงั้น เหตุผลเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นสาเหตุการตายของ DSLR ได้ดีทีเดียว

สมาร์ทโฟน ฮอตสุดๆ

ในช่วงตั้งไข่ของ DSLR เป็นช่วงเวลาที่การแข่งขันและการเปรียบเทียบไม่สูงมากนัก ซึ่งเขาจะเปรียบเทียบกันก็มีแค่กล้องฟิล์ม ทำให้คนรักการถ่ายภาพไม่ลำบากใจมากนักที่จะตัดสินใจเลือกระหว่างสองตัวเลือกข้างต้น เหตุผลที่จะเลือกก็ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ

แต่แล้วตลาดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหลังการเข้ามาของ กล้องคอมแพค ที่มาพร้อมกับความกะทัดรัด ราคาไม่แรง กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ DSLR ในทันทีและสามารถเข้ามากินแบ่งตลาดถ่ายภาพไปได้ เป็นเหตุให้คนทั่วไปต้องมานั่งชั่งใจว่าจะซื้อคอมแพคหรือDSLR ดีละ

และการการมาของ Smartphone รวมถึงคุณภาพการถ่ายภาพที่สูงขึ้นทำให้การเลือกซื้ออุปกรณ์ถ่ายภาพแตกต่างไปจากเดิมเพราะผู้บริโภคต้องการอุปกรณ์ที่ทำได้มากกว่าแค่ถ่ายรูป ไม่ว่าแชร์ลงโซเชียล โอนภาพให้เพื่อนได้ทันทีหรือแต่งภาพหลังถ่ายทันที แต่อย่างไรก็ตามคนทั่วไปก็ยังมีบางส่วนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมรูปจาก DSLR ถึงดีกว่ารูปจาก Smartphone  และก็ไม่ค่อยจะมีใครที่จะวางสมาร์ทโฟนแล้วไปจับ DSLR เพราะเจ้าอุปกรณ์จิ๋วก็ถ่ายรูปออกมาสวยเริศได้อยู่

ส่วนแบ่งตลาด

เมื่อ Mirrorless และสมาร์โฟนเริ่มขยายอาณาเขตจนแข็งแกร่งพอที่จะแข่งขันกับ DSLR ส่งผลให้ค่ายกล้องรายใหญ่อย่าง แคนนอน และ นิคคอนต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากต่อการจำหน่ายกล้องเลนส์สะท้อน โดยทาง CIPA ทำสถิติยอดขายกล้อง DSLR ออกมาตั้งแต่ปี 2012 ถึง 2017 พบว่ายอดขายกล้องเลนส์สะท้อนอยู่ในช่วงขาลงเรื่อยมาสวนทางกับสมาร์ทโฟนและมิลเลอร์เลสที่ยอดขายเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ซึ่งต่างคาดการณ์กันว่า DSLR ต้องแพ้พ่ายหมดรูปในปี 2019 ก็เป็นได้

แคนนอนลงทุนผลิต mirrorless มากขึ้น

จากส่วนของตัวเลขดิบแสดงให้เห็นว่านิคคอนและแคนนอนต่างเผชิญอุปสรรคที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้ตนเองต้องหายไปจากตลาดกล้องถ่ายภาพไร้กระจก ซึ่งมีข่าวลือออกมาว่าทางแคนนอนเตรียมปล่อย Fulframe mirrorless ในไม่ช้านี้ ถือว่าเป็นก้าวที่กล้ามากที่จะเดินออกจาก DSLR ที่พวกเขาสร้างไว้ดีมากๆ

ทำไมยังต้องซื้อ DSLR?

แม้ Mirrorless กำลังจะเป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง และความต้องการของตลาดก็สูงขึ้นจนกินส่วนแบ่งการตลาดไปมาก แต่ทางฝั่ง DSLR เองก็ยังคงความได้เปรียบทั้งประสบการณ์และการพัฒนาที่ที่สั่งสมมานาน ทำให้ DSLR สามารถทำงานได้ทุกสภาพอากาศ แบตเตอรี่ที่ทำให้กล้องทำงานได้นานกว่าและความละเอียดของภาพที่กล้องถ่ายภาพ DSLR ยังกุมความได้เปรียบไว้ ขณะเดียวกันช่างภาพมืออาชีพหลายคนยังไว้เนื้อเชื่อใจในรุ่นพี่ ทำให้ยอดขายของ DSLR ยังคงสูงกว่ารุ่นใหม่อยู่เช่นเดิม แต่อย่างไรก็ตามจาก DSLR สู่ Mirrorless เป็นเพียงการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีจากยุคหนึ่งสู่อีกยุคหนึ่ง เพื่อตอบสนองการใช้งานของแต่ละบุคคลเพราะทั้งสองอย่างต่างถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การทำงานของแต่ละคนที่ต่างมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์การใช้งาน ราคาและขนาดของกล้องนั้น จะไปลงตัวผู้ใช้คนไหน ดังนั้นแล้วทั้ง DSLR และ Mirrorlessw ไม่มีฝั่งใดเก่า ใหม่ ดีหรือแย่แต่เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีให้เข้ากับสไตล์ของบุคคลในเวลานั้นมากกว่า

 

 

ที่มา petapixel.com