Gopro บริษัทผู้ผลิตกล้อง Action Cam เบอร์ใหญ่แดนลุงแซมออกมาประกาศผลประกอบในช่วงไตรมาสสองที่ตอนนี้มีทีท่าว่าจะดีขึ้นหลังมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นราว 40 เปอร์เซ็นต์ โดยคิดเป็นมูลค่ากว่า 283 ล้านและขาดทุนราว 32 ล้าน ซึ่งทางบริษัทแจงว่า 51 เปอร์เซ็นต์เป็นสัญญาณดีต่อเนื่องสำหรับทิศทางที่ Gopro กำลังจะเดินต่อไป ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงที่บริษัทกำลังเจออุปสรรคครั้งสำคัญ ทั้งการเชิญพนักงานออกหลายตำแหน่งและวิธีการอื่นๆเพื่อให้ Gopro ไปต่อได้ในตลาด Action Cam ที่กำลังดุเดือดด้วยคู่แข่ง
Gopro เห็นว่าการลดต้นทุนกว่า 47 ล้านจากไตรมาสแรกถึงไตรมาสที่สองในปี 2018 ซึ่งในตอนนี้ทางบริษัทอยู่ในสถานการณ์ลงทุนที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับปี 2014 โดยทางโกโปรมีการลดเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆลงมาประมาณ 16 ล้านและมีการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ซื้อ 9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบแบบไตรมาส
ทาง Gopro ออกมาเครมว่าในปีที่ 18 นี้จะมุ่งมั่นที่จะทะยานขึ้นเป็นที่ 1 ในเรื่องของยอดขายกล้อง Action Camera ในพื้นที่อเมริกาเหนือ ยุโรปและเอเชียให้ได้ โดยยังยังคงนำเสนอความเป็นผู้นำกล้องอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลของ NPD ทาง Gopro กล่าวว่าสามารถเข้ากินส่วนแบ่งตลาดได้ 97 เปอร์เซ็นต์ของตลาด Action Camera ในอเมริกา โดยเป็นกล้องรุ่น Fusion กว่า 48 เปอร์เซนต์
โดยทางบริษัทจะมีการเรียกเหล่าผู้ลงทุนมาพูดคุยในเร็วๆนี้ ซึ่ง Nicholas Woodman CEO ของ Gopro เปิดเผยว่าบริษัทมีแผนจะปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่ในปลายปีนี้ โดยรายละเอียดยังไม่มีการเปิดเผย แต่สินค้าชิ้นนึงที่จะมีแผนเปิดตัวแน่นอนคือ Hero7 ที่จะมีการอัปเกรดจากรุ่นก่อนมากขึ้น ซึ่งจะต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ถือว่าเป็นเรื่องราวน่ายินดีที่ Gopro เริ่มจะปรับตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ดีขึ้นเชื่อว่าในไม่ช้านี้พวกเขาจะสามารถกลับมาแข่งขันและก้าวเป็นผู้นำได้อีกครั้ง ส่วนสินค้าใหม่ที่จะมาคงต้องลุ้นว่าพวกเขามีไม้เด็ดอะไรมาปราบคู่แข่ง